....ยินดีต้อนรับสู่ เว็บไซต์ของชมรมบ้านพักทุ่งดอกกระเจียว....
 

 

ชิญเที่ยว...ท้าสัมผัส มหัศจรรย์แห่งเมือง ชัยภูมิ

ลายคนคงตั้งข้อสงสัยว่า การดูหินให้เกิดความงามนั้น ต้องอาศัยหลักเกณฑ์ใด

หรือควรจะดูอย่างไร แล้วเกิดความสวยงาม......!!!!!!!

ายานิต พชรล้ำ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ได้ให้มุมมอง และข้อคิดตามหลักการทางธรณีวิทยา และความรู้เชิงวิทยาการแก่คณะผู้เขียน

และนักท่องเที่ยวที่สนใจใคร่อยากรู้เกี่ยวกับการดูแท่งหินรูปทรงต่าง ๆ ทั้งในเขตอุทยานป่าหินงาม และมอหินขาวไว้อย่างน่าสนใจว่า....

การมาดูหินงามตามธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ควรได้รับความรู้กลับไปด้วย อย่างโครงสร้างของหินที่นี่เป็นหินทราย หินตะกอนที่ตกตะกอนในท้องทะเลน้ำตื้น

หรือในอ่าว หรืออ่างเก็บน้ำ หรือบ่อน้ำตื้นโดยถูกหินอัคนีดันตัวขึ้นมา จึงกลายมาเป็นที่ราบสูงอีสาน รูปทรงต่าง ๆ ของหินที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากการชะล้างของธรรมชาติ

ตั้งแต่น้ำทะเล ลมฟ้าอากาศ เป็นสาเหตุให้ หินผุกร่อน และกลายเป็นรูปทรงต่าง ๆ โดยเฉพาะตามขอบกระทะของอีสาน เช่น บริเวณผาสุดแผ่นดิน

ถือเป็นพื้นหินสุดท้ายของอีสาน รูปทรงหินตามแนวขอบกระทะจึงมีรูปทรงต่าง ๆ เกิดขึ้นรวมถึงจุดที่อยู่ลึกไม่เกิน 100 กม.

จะมีหินรูปทรงเหล่านี้เกิดขึ้นจากการยกตัวของเปลือกโลก หากใครสังเกตุที่ผิวหิน จะเห็นรอยการชะล้างที่ธรรมชาติกระทำ ทั้งทางตรงบ้าง และแนวเอียงบ้าง ส่วนใหญ่

จะเป็นในแนวเอียงเยอะ โดยเอียงจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก

 

ความงามของแท่งหินในแต่ละช่วงที่ดูจะมีความแตกต่างกันอย่างไร ?

รูปทรงต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับการจินตนาการของแต่ละคน ช่วงเช้าฤดูหนาว ควรมาดูพระอาทิตย์ขึ้น แสงอาทิตย์ก็จะสาดส่องหินให้เป็นรปูทรงต่าง ๆ

เนื่องจากหินทรายจะมีเกล็ดแก้ว เมื่อต้องแสงตะวัน จะทอประกายแสงออกมาระยิบระยับ แม้แต่กลางคืนก็ดูหินให้สวยงามได้ โดยเฉพาะคืนเดือนเพ็ญ

เมื่อหินต้องแสงจันทร์ เกล็ดแก้วในหินทรายก็จะทอแสงระยิบระยับหรือจะเอาไฟฉายดวงเล็ก ๆ ส่องไปที่หิน เกล็ดแก้วในหินก็จะสะท้อนแสงออกได้เ่ช่นกัน

ดังนั้น เราดูหินได้ทั้งวัน อย่างกลาววันก็ดูให้สวยงามได้ เนื่องจากการตกกระทบของแสงที่ีส่องมายังหิน แต่ละรูปทรงในป่าหินงาม จะทำให้เกิดจินตนาการหินเป็นรูปทรงต่าง ๆ ได้

อย่างช่วง 4 โมงเช้า แสงจะตกกระทบในมุม 45 องศา หรือช่วงเที่ยงวัีนแสงจะตกกระทบหินในมุมตรง 90 องศา หรือเป็นมุม 45 องศา ทางทิศตะวันตก

ตั้งแต่บ่าย 2 โมง สุดท้าย ก็เวลาพระอาทิตย์ตก....

 

ชื่อของหินแต่ละรูปทรงใครเป็นผู้คิดค้น ?

ชื่อของหินมีเรียกขานกันมานานแล้ว โดยเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่ไปพบเห็นได้ตั้งชื่อให้ ไม่ว่าจะเป็นหินรูปทรงเรดาร์ หินรูปแม่ไก่ และหินอื่น ๆ

ชื่อเหล่านี้นักท่องเที่ยวไม่จำเป็นต้องเรียกตามก็ได้ หากนักท่องเที่ยวมีมุมมองที่ดีกว่า สามารถจะมาแนะนำกับทางอุทยานฯ ได้ ซึ่งปีหน้า

เราจะจัดโครงการประกวดถ่ายภาพหินงาม ให้นักท่องเที่ียวได้มาถ่ายรูปประกวดตั้งชื่อ และถ่ายรูป

อีกทั้งในช่วงเดือนตุลาคม -ธันวาคม อุทยานฯ จะจัดกิจกรรมกับหินรูปทรงถ้วยฟุตบอลโลก โดยนำแสงไปตั้ง แล้วสาดไปที่หินทรงนี้

รวมทั้งมาชมหินภายใต้แสงจันทร์วันเพ็ญ และจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ป่าหินงามด้วย...

 

การชมหินงามในอุทยานฯ ควรจะปฎิบัติตนอย่างไร ?

หินงามนป่าหินงามเป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นมาหลายล้านปี ประติมากรรมเหล่านี้ ธรรมชาติเป็นผู้สร้างให้เรา ไม่ใช่มนุษย์เป็นผู้ตกแต่ง ถ้ามนุษย์ในยุคเราอายุไม่เกิน 100 ปี

ไปตกแต่งขึ้นมามันก็เหมือนกับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดการบุบสลายของหิน บางคนอยากจะสลักชื่อเข้าไป อันนี้ไม่ควรกระทำ หลายคนเอาเศษห่อท็อฟฟี่

หรือหมากฝรั่ง ยัดใส่ในซอกหินก็เช่นกัน จะเห็ฯได้ว่าอุทยานฯ ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวถืออาหาร หรือขวดน้ำเข้าไชมหินงามในป่าหินงาม หรือนักท่องเที่ยวบางคน

จะเอามือลูบหิน เซาะร่องหินให้สึกกร่อน ก็ไม่ควรกระทำอย่างเด็ดขาด มุมสวย ๆ ของปินงาม ทางอุทยานฯ เก็บไว้ให้ท่านได้ถ่ายรูป และชื่นชมความงานของหินไว้แล้ว

 

ป่าหินงาม กับมอหินขาว เหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร ?

อหินขาว หรือสโตนเฮนจ์เมืองไทย กับหินงาม ที่ป่าหินงาม ถ้าพูดถึงการก่อกำเนิดไม่แตกต่างกัน เป็นหินงามที่เกิดขึ้นจากปรากฎการณ์ทางธรรมชาติในยุคเดียวกัน

และเป็นแผ่นหิน แผ่นเดียวกัน เนื่องจากแนวการดันตัวของเปลือกโลกดัีนจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวัีนออก แต่การซุกตัวของแผ่นหินอาจจะเป็นรอยโค้ง

จากป่าหินงามไปไทรทอง แล้วโค้งไปภูแลนคา จะสังเกตุได้ว่า แผ่นหินนั้นจะอยู่ริมขอบเขา พอขึ้นไปสักพักจะสโตนเฮนจ์ ไม่เกิน 500 เมตร

ก็จะเป็นหน้าผา ณ.จุดชมวิวผาหัวนาค ซึ่งจะมีเหมือนกับป่าหินงามทุกประการ.....

 

นายมานิต เพชรล้ำ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ยังได้เอ่ยถึง "สโตนเฮนจ์เมืองไทย" อย่างชื่นชมว่า .....

"มอหินขาวเป็นหนึ่งเดียวในเอเชียด้านความมโหฬาร ที่อยู่บนเนินเขาสูงจากน้ำทะเล 600-800 เมตร แต่ถ้าพูดถึงความมโหฬารแบบนี้อาจไม่ใช่

เพราะหินแบบนี้ ที่อ่าวฮาลองเบย์ ในเวียดนาน ก็มโหฬารเช่นกัน เพียงแต่อยู่ในทะเล ถ้ิ่าพูดถึง มอหินขาว กับสโตนเฮนจ์ในอังกฤษ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง

เป็นสิ่งที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ จะเอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้ เพราะสโตน เฮนจ์ในอังกฤษ เกิดจากน้ำมือมนุษย์เป็นผู้สร้าง

แต่สโตนเฮนจ์ เมืองไทยเป็นปรากฎการณ์จากธรรมชาติ"

 

 

อบคุณ วารสารทางหลวง ปีที่ 45 ฉบับ 5 เดือนกันยายน - ตุลาคม 2551 ที่เอื่อเฟื้อข้อมูล

สมัครสมาชิกวารสาร ทางหลวงได้ ที่ : 0-2354-6487 ต่อ 1077-8

 

 

กลับหน้าแรก ชมรมบ้านพักทุ่งดอกกระเจียว